Saturday, August 24, 2019

สรุปหนังสือ The 100-Year Life

สรุปหนังสือ The 100-Year Life
Living and working in an age of longevity
เรียนรู้และทำงานอย่างไรในยุคคนอายุยืนขึ้น

คนหนุ่มสาวแต่ก่อน เรียน-ทำงาน-เกษียณ

คนหนุ่มสาวสมัยนี้ เรียน ท่องเที่ยว ลองทำงาน เปลี่ยนงาน ท่องเที่ยว กลับมาทำงาน วนไป แล้วค่อยเกษียณ
มีชีวิตที่ไม่ผูกติดกับอายุ ยืดหยุ่น และไร้พันธะ

เพราะคิดว่า จะมีอายุยืนขึ้น จึงขอลองหน่อย ความหลากหลายคือรสชาติของชีวิต หรือ Variety is the spice of life.
ฝรั่งเรียกคนเหล่านี้ว่า หนุ่มสาวรุ่นใหม่ ไฝ่หาทางเลือก (Young Adults Holding Options หรือ Yahoos)

สิ่งที่พวกเขาต้องเตรียมคือ
- ทรัพย์สิน
- ทักษะและความรู้ใหม่ ๆ
- สุขภาพและความสัมพันธ์

และที่สำคัญ ทรัพย์สินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน แปลว่า ความใจกว้าง เปิดใจ และเครือข่าย เพื่อหางานใหม่

สร้างสมดุลระหว่าง เงินกับทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้

การพักผ่อน หรือ recreation จะเปลี่ยนเป็นการสร้างใหม่ re-creation แปลว่า เสาร์อาทิตย์จะไม่ได้พักผ่อนแล้ว ต้องหาความรู้และสร้างทักษะใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาเพื่อการเปลี่ยนงาน

มีการออมเพื่อเกษียณ และออมเพื่อการเปลี่ยนงาน

รัฐบาลต้องลงทุนให้การศึกษาแก่คนหลาย ๆ รุ่น มหาวิทยาลัยจะมีคนแก่มาเรียนเพิ่มเติมมากขึ้น
นายจ้างต้องเข้าใจการเปลี่ยนงานหลายช่วง และการจ้างงานแบบใหม่ ที่ยืดหยุ่นและไม่ผูกพัน

5G จะเปลี่ยนไทยภายใน 2 ปี

5G จะเปลี่ยนไทยภายใน 2 ปี
สำคัญมากต่อภาคการผลิต

จุดเด่นของ 5G
- ความเร็วสูง ความหน่วงต่ำ ตอบสนองได้ทันที 1/1000 วินาที การเชื่อมต่อที่ล้ำเลิศกับอินเตอร์ของสรรพสิ่ง (Internet of Things, IOTs)- เร็วกว่า 4G หลาย 10 เท่า

1. เตรียมคลื่น
2. สร้างการแข่งขัน
3. เติมเต็มการกำกับดูแล

ต้องแน่ใจว่าคลื่นเหล่านี้ว่างที่จะนำมาใช้
คลื่นที่รัฐวิสาหกิจ และเอกชนถืออยู่ ควรตรวจดูความถูกต้อง หรือเรียกคืน
จัดสรรคลื่นใหม่ (refarming)
วางโรดแมปประมูลคลื่น
ต้องเปิดเสรี ออกใบอนุญาตให้รายใหม่ เช่น ให้พื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมเยอะ ๆ อย่าง EEC ออกใบอนุญาตให้รายใหม่ ไม่ใช่แค่ 3 รายอย่างที่รู้กันอยู่
ความเป็นส่วนตัว (privacy)
กฎระเบียบใหม่ที่ออกมากำกับดูแล (laws and regulations)
และความโปร่งใสของการดำเนินธุรกิจ (transparency)


ไทยต้องเตรียมรับ 5G ดังนี้
5G ใช้คลื่นความถี่ต่ำ (ใช้กับรถไฟความเร็วสูง และทีวีอนาล็อก) กลาง (ใช้กับทีวีดาวเทียม) และสูง
การโทรคมนาคม เป็นหัวใจบริการ 5G
คำนึงถึงความปลอดภัย เช่น ผ่าตัดทางไกล (remote surgery หรือ telesurgery) อันตรายถ้าโดนแฮก

Friday, August 23, 2019

เส้นทางสายไหมใหม่ของจีน กับอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมือง

เส้นทางสายไหมใหม่ของจีน new silk road ทำให้จีนมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้น

ไทย อาเซียน เกาหลี และญี่ปุ่น กำลังถูกจีนดูด

ไทยถูกดูด ทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน ทั้งหมดนี้ไทยพึ่งพาจีน สร้างเม็ดเงินให้ไทยประมาณ 1 ล้านล้านบาท

จีนเคยคว่ำบาตรญี่ปุ่น จากข้อพิพาทเรื่องหมู่เกาะ โดยการไม่ส่งแร่หายากไปยังญี่ปุ่น ทำให้โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับผลกระทบ

ฟิลิปปินส์ มีปัญหาเรื่องดินแดนกับจีน จีนจึงห้ามนำเข้ากล้วย โดยอ้างว่ามีแมลงและไม่ผ่านมาตรฐาน

เกาหลีใต้ไปติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ จีนไม่พอใจ จึงชักชวนให้คนจีนห้ามไปเที่ยวเกาหลีใต้

ถ้าหากจีนจะคว่ำบาตรไทย ก็เพียงแค่ห้ามนำเข้าทุเรียนและมังคุด แค่นี้เกษตรกรไทยก็ประท้วงกันใหญ่แล้ว

โชคดีที่ไทยไม่มีปัญหาเรื่องพรมแดนกับจีน
แค่ไทยมีอำนาจต่อรองลดลง ยกตัวอย่างเช่น
ไทยต้องซื้ออาวุธและเรือดำน้ำจากจีน
ไทยต้องจ้างจีนทำรถไฟความเร็วสูง
ไทยอนุญาตให้จีนระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขง

ไทยต้องปรับตัว ดังนี้
แสวงหาผลประโยชน์ร่วมทางด้านเศรษฐกิจ
ส่วนทางด้านการเมืองไทยเว้นระยะห่าง
หาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง
กลับสู่ประชาธิปไตย ฟื้นฟูสัมพันธ์กับชาติตะวันตก เพื่อที่จะได้มีอำนาจมาถ่วงดุลกับจีน

Thursday, August 22, 2019

สูตร SWAN ในการรับคนเข้าทำงาน

สรุปบางส่วนจากหนังสือเรื่อง Full Engagement หนังสือที่ HR ควรอ่าน

สูตร SWAN ในการรับคนเข้าทำงาน 
S.W.A.N คือ 
Smart ฉลาด
Work hard ทำงานหนัก
Ambitious ทะเยอทะยาน
Nice น่าคบ

มองหาคนฉลาด (Smart)งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ความฉลาดสามารถทำนายความสำเร็จของเราในการเริ่มทำงานได้แม่นยำถึง 72% ยิ่งผู้สมัครฉลาดมากเท่าไหร่ เขาก็น่าจะเหมาะกับงานมากเท่านั้น

แล้วความฉลาดวัดได้จากอะไรหล่ะ???

คำตอบคือ
1. ประวัติการศึกษา ยิ่งเรียนสูงมากเท่าไหร่ ก็น่าจะฉลาดมากเท่านั้น
2. ปริมาณหนังสือที่อ่านและการพัฒนาตนเอง ยิ่งรักการอ่าน ฟังเรื่องที่ให้ความรู้ และลงเรียนหลักสูตรเพิ่มเติมมากเท่าไหร่ เขาน่าจะฉลาดและทำงานได้ดีมากเท่านั้น

วิธีคัดแยกผู้สมัครแย่ ๆ ออกจากผู้สมัครดี ๆ คือ ถามคำถามแรกว่า
“ช่วยพูดถึงหนังสือที่คุณอ่าน สิ่งที่คุณฟัง และหลักสูตรที่คุณเคยเข้าอบรมเพื่อพัฒนาตนเองและการทำงานหน่อยได้ไหมครับ”

เป็นไปได้ว่าตัวชี้วัดความฉลาดได้ดีที่สุดคือ...
ความสงสัยใคร่รู้ คนฉลาดจะตั้งคำถามมากมาย อยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท สินค้าและบริการ และอนาคตของบริษัท ความเป็นไปของธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาตนเองถ้าหากได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัท พวกเขารู้สึกสนใจและอยากมีส่วนร่วมกับคุณ

Sunday, August 18, 2019

จ้างนักเขียนชั้นยอด (Hire great writers)

สรุปส่วนหนึ่งจากหนังสือ Rework หนึ่งในหนังสือธุรกิจที่ควรอ่าน

จ้างนักเขียนชั้นยอด (Hire great writers)

ถ้ามีคนสักสองสามคนให้คุณเลือกเข้าทำงาน จงจ้างคนที่เขียนดีที่สุด ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นใคร นักการตลาด นักขาย นักออกแบบ โปรแกรมเมอร์ หรือใครก็แล้วแต่ ทักษะการเขียนอันชั้นยอดของเขาจะเป็นผลดีต่อบริษัท

เพราะว่า การเป็นนักเขียนที่ดีนั้น เป็นมากกว่าแค่การเขียน หมายความว่า งานเขียนที่ชัดเจน บ่งบอกถึงความคิดที่ชัดแจ้ง
นักเขียนชั้นยอด รู้ว่าควรจะสื่อสารอย่างไร พวกเขาทำเรื่องต่าง ๆ ให้เข้าใจง่าย พวกเขาเข้าใจหัวอกของผู้อ่าน พวกเขารู้ว่าอะไรควรเขียนหรือไม่ควรเขียน สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่คุณต้องการในตัวผู้สมัคร

คอยสังเกตดูว่าผู้คนส่งอีเมล์ (to email) หรือ ส่งข้อความ (to text-message) สื่อสารกันอย่างไร มากกว่าดูแค่การพูดุคยทางโทรศัพท์ (to talk on the phone)
ดูว่ามีการสื่อสารมากเพียงใดผ่านทางการแชท (instant messaging) และ การเขียนบล็อก (blogging)

การเขียน คือสิ่งที่แพร่หลายในปัจจุบัน สำหรับการผลิตไอเดียดี ๆ

Saturday, August 17, 2019

เกาหลีใต้ ลอกเรียน (ลอกแล้วเรียน) จนได้ดี

เกาหลีใต้ รวยมาได้ยังไง?
จากหนังสือเรื่อง Imitation to Innovation, The Dynamics of Korea’s Technological Learning
คำตอบคือ รวยมาได้จากการ ลอกเรียน (ลอกเลียน + ต่อยอด)

การสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ไม่จำเป็นต้องมาจากการมันสมองของเราทั้งหมด
กวีที่ไม่บรรลุ...ลอกเลียน
กวีที่บรรลุ...ขโมย
กวีชั้นแย่...ทำงานผู้อื่นเสียโฉม
กวีชั้นยอด...ทำงานผู้อื่นดีขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้แตกต่างออกไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่ในโลกเองทั้งหมด บางส่วนต้องอาศัยการลอกเลียน ต่อยอด (ลอกแบบมีศิลปะ ต่อยอดจากของเดิม = ลอกเรียน)

ประเทศมหาอำนาจล้วน ‘ลอกเลียน’ และ ‘ลอกเรียน’ มาแล้วทั้งสิ้น

อเมริกาที่บอกคนอื่นทั้งโลกว่า ห้ามละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ แต่...
ปี 1790 กฎหมายลิขสิทธิ์ของอเมริกา คุ้มครองเฉพาะงานของคนในสหรัฐ แปลว่า งานของต่างประเทศตนเองสามารถลอกได้
อเมริกาไม่ยอมเข้าอนุสัญญาเบิร์น ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องลิขสิทธิ์ ไม่ยอมเข้าร่วมจนถึงปี 1989 เพื่อลอกหนังสือยุโรป เช่น นวนิยายดี ๆ ของ Charles Dickens ลอกมาแล้วตีพิมพ์ให้อ่านในราคาถูก

ญี่ปุ่น ไม่คุ้มครองสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ จนถึงปี 1976 พูดง่าย ๆ คือ copy คนอื่น ดัดแปลง จนตัวเองเก่ง แล้วจึงทำให้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเข้มงวดขึ้น
เช่น Sony ลอกแนวคิดของสหรัฐ เอามาผลิตวิทยุทรานซิสเตอร์

เกาหลี
ปี 1976 Samsung ต้องการผลิตเตาอบไมโครเวฟ แต่ไม่มีใครให้เทคโนโลยี จึงไปซื้อไมโครเวฟของคนอื่นมา วิศวกรทำงานหนัก ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายลอกเรียนจนสำเร็จ
ญี่ปุ่นและสหรัฐเห็นว่าเริ่มเก่ง จึงถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มเติมให้
ปี 1994 Samsung กลายเป็นเบอร์สองของโลกเรื่องการผลิตเตาอบไมโครเวฟ

ปี 1986 Hyundai อยากผลิตรถเก๋งขนาดเล็กหรือ compact car แต่ญี่ปุ่นไม่ให้เทคโนโลยี จึงออกแบบรถโดยลอกเรียนรถญี่ปุ่น ลองเปลี่ยนมาหลายแบบ กว่าจะผลิตเครื่องยนต์ได้
ปี 1995 Hyundai สามารถผลิตเครื่องยนต์คุณภาพสู้ญี่ปุ่นได้

สรุปคือ วิธีการลอกเรียนให้สำเร็จ
1. ยืนหยัด ไม่ยอมแพ้
2. กฎหมายยอมให้ทำ

มังกรจีนลอกคราบ

จีนเติบโตด้วยอัตราที่สูงมานาน เราสามารถพบเห็นรถไฟความเร็วสูงตามเมืองใหญ่ ๆ ของจีน

หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 จีนเติบโตจากการลงทุนด้วยการกู้ยืมเงิน สร้างโรงงาน และอสังหาริมทรัพย์มากมาย แต่ลงทุนไม่ถูกที่ ไม่คุ้มค่า เกิดอสังหาริมทรัพย์ส่วนเกิน เกิดเมืองร้าง

เดี๋ยวนี้การลงทุนของจีน สร้างการเติบโตน้อยลงกว่าแต่ก่อน
จีนใช้อุตสาหกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงเกิดปัญหามลภาวะ นครใหญ่ ๆ เกิดมลพิษทางอากาศ และน้ำเสีย

การลงทุนสร้างอุตสาหกรรมทำโดยรัฐวิสาหกิจ แต่อัดฉีดเงินจากรัฐมากเกินไป จึงเกิดกำลังการผลิตส่วนเกิน จึงต้องลดกำลังการผลิตส่วนเกินในบางสินค้า เช่น อลูมิเนียม นิเกิล สังกะสี ทองแดง เหล็ก เป็นต้น เมื่อลดกำลังการผลิต จึงต้องลดคนงานด้วย นี่เป็นคำถามว่าจีนจะทำอย่างไรต่อไป

คำตอบคือ แผน 13 ของจีน หรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีน
จะเป็นแผนมังกรลอกคราบ ดังนี้
1. ไปสู่ประเทศรายได้สูงในปี 2020 แปลว่าต้องเติบโตประมาณ 6.5% ต่อไปอีกพักใหญ่
2. จากการเติบโตด้วยการลงทุนที่ทำให้เกิดปัญหา ไปสู่การเติบโตด้วยการบริโภคของครัวเรือน
3. จากการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต ไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมบริการ
4. อุตสาหกรรมที่เหลืออยู่ จะต้องเป็นอุตสาหกรรมไฮเทคมากยิ่งขึ้น
5. สนใจสังคมและสิ่งแวดล้อม ต้องรักษาสิ่งแวดล้อม และควบคุมอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษ
6. เพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนจีน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

ผลกระทบต่อไทย
ไทยพึ่งพาจีน ไทยป้อนวัตถุดิบ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม แต่ตอนนี้จีนต้องการลดอุตสาหกรรม ไทยจึงต้องกระจายความเสี่ยง หาตลาดใหม่
ผลจากการพัฒนาอุตสาหกรรม ทำให้จีนเกิดชนชั้นกลางมากขึ้น คนมีรายได้สูงขึ้น พวกเขาต้องการสินค้าที่มีคุณภาพดี และบริการที่เน้นไลฟ์ไลต์ เช่น นั่งร้านกาแฟหรู
นักท่องเที่ยวจีนที่มาเป็นกลุ่ม ในอนาคตจะมาเที่ยวด้วยตนเอง เพราะพวกเขาเคยเที่ยวมาแล้ว
เราต้องเข้าใจและรับมือ เช่น สร้างเว็บไซต์เป็นภาษาจีน และภาครัฐต้องช่วยวิจัยตลาดการบริการที่สำคัญ จีนเป็นประเทศใหญ่ ผู้บริโภคแต่ละเมืองมีพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน ต้องวิเคราะห์แยกเป็นแต่ละเมือง
ไทยต้องปรับตัวก่อนจีนจะหันหน้าไปทางอื่น

ความลับของนวัตกรรมจีน

จากหนังสือเรื่อง China’s Next Strategy Advantage สรุปได้ 4 ข้อดังนี้

1. สนใจลูกค้า ดูความต้องการของลูกค้า
เช่น ผลิตรถยนต์ Chery QQ ราคาถูกแค่แสนกว่าบาท สำหรับผู้มีเงินไม่มาก เป็นรถยนต์ที่ดีพอ แต่ไม่ต้องดีเลิศ
เครื่องทำน้ำเต้าหู้ยี่ห้อ Joyoung ปั่นผลไม้ก็ได้ เป็นหม้อหุงข้าวก็ได้

2. คิด innovation เล็ก ๆ ออกมาจำนวนมาก และผลิตเป็นสินค้าออกมาหลากหลายรุ่น
เช่น รถเข็นเด็กยี่ห้อ GoodBaby มีให้เลือกกว่า 1600 รุ่น เพื่อทดลองว่าแบบไหนสามารถไปต่อได้

3. ล้มเหลวให้เร็ว
จีนเชื่อว่า ความเสี่ยงคือ การไม่ทำอะไรเลย
จีนมีวิศวกรจำนวนมาก และเงินเดือนไม่สูง
ใช้วิศวกรกว่า 500 คน คิดค้นรถขนเงินยี่ห้อ FDJ เพื่อใช้ได้ทั่วโลก เพราะปกติรถขนเงินแต่ละธนาคารจะไม่เหมือนกัน แตกต่างไปตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยของแต่ละประเทศ
แอป WeChat ไม่ต้องรอให้สุดยอด ปล่อยออกมาให้เร็ว แล้วทดลองกับคนสองกลุ่ม เช่น กลุ่มแรก 1 ล้านคน กลุ่มที่สอง 5 ล้านคน แล้วดูว่าแบบไหนจะไปได้ดี
มือถือยี่ห้อ Xiaomi ก็เช่นกัน ปล่อยออกมาให้เร็ว หลากหลายรุ่น ดู feedback แล้วทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

4. ผู้นำให้ความสนใจ
ประธานบริษัท Haier แจกค้อนให้พนักงานทุบตู้เย็นที่มีปัญหา เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงคุณภาพของสินค้า
บริษัท Gold Win ผลิตกังหันลม เพื่อผลิตไฟฟ้า ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ จนเป็นบริษัทผลิตกังหันลมอันดับต้น ๆ ของโลก

สรุป จีนมีจุดแข็งคือ มีตลาดโตเร็ว สินค้าหลากหลาย ผู้นำให้ความสนใจ มี innovation แบบเปิดทั้งทำเอง และรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หรือซื้อกิจการต่างประเทศ

นวัตกรรมจีนผงาดโลก

จีนซื้อบริษัทในยุโรปมากมาย เช่น
Volvo ผลิตรถยนต์ จากประเทศสวีเดน
Motorola ผลิตมือถือ
Syngenta ผลิตเมล็ดพันธุ์พืช
Kuka ผลิตหุ่นยนต์

จีนมีบริษัท hi-tech จำนวนมาก และส่งออกสินค้าไฮเทคกว่า 20% ของการส่งออกทั้งหมด
จีนไม่ใช่ประเทศที่เป็นฐานอุตสาหกรรมการผลิตราคาถูกอีกต่อไปแล้ว และมีค่าแรงแพงกว่าไทย

ตัวอย่างสินค้านวัตกรรมจีน เช่น
บริษัท Haier แต่เดิมผลิตสินค้าขายให้กับชนบท
ตอนนี้เป็นผู้ผลิตเครื่องซักผ้าและตู้เย็นชั้นนำของโลก
ผลิตเครื่องซักผ้าที่ใช้เป็นที่ล้างผักได้ด้วย
ผลิตตู้เย็นที่สามารถแปลงร่างเป็นโต๊ะเขียนหนังสือได้ ขายให้กับหอพักนักศึกษา

ถ้า eBay เป็นฉลามแห่งมหาสมุทร Alibaba ขอเป็นจระเข้แห่งแม่น้ำแยงซี เพราะได้เปรียบในการต่อสู้ในบ้านของตนเอง
ร้านค้าใน Alibaba ต้องใช้ชื่อจริงในการค้าออนไลน์ เพื่อป้องกันการโกง และยังเก็บประวัติการซื้อขายของร้านค้า เพื่อช่วยให้ร้านค้ามีเครดิตในการไปกู้เงินแบงค์ และ Alibaba สามารถปล่อยกู้เองได้ด้วย ตัวเองดี เศรษฐกิจดีไปด้วย

พัฒนาการของจีน 3 ขั้นได้แก่
1. เติ้ง เสี่ยวผิง ปี 1979 เปิดประเทศ นำจีนเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ (globalisation) ตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง จึงทำการ copy และทำการผลิตและขายในประเทศ
2. ก้าวสู่ระดับโลกด้วยการส่งออกสินค้าขายไปทั่วโลก
3. ซื้อ brand name, technology และคนเก่ง ๆ

สรุป จีนก้าวกระโดดด้วยการวิจัยตัวเองและซื้อกิจการ

Thursday, August 15, 2019

numbers and years การอ่านปี

ให้อ่านเป็นคู่ ตัวอย่างเช่น


The first steam engine - 1698 อ่านว่า sixteen ninety-eight
เครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรก เกิดขึ้นในปี 1698


The first railway locomotive - 1814 อ่าน eighteen fourteen
หัวรถจักรรถไฟเครื่องแรก ปี 1814


The first telephone - 1870 อ่านว่า eighteen seventy
โทรศัพท์เครื่องแรก ปี 1870


The first radio - 1901 อ่านว่า nineteen oh one
วิทยุเครื่องแรก ปี 1901 


The first television - 1926 อ่านว่า nineteen twenty-six
โทรทัศน์เครื่องแรก ปี 1926


The first computer - 1944 อ่านว่า nineteen forty-four
คอมพิวเตอร์เครื่องแรก ปี 1944


The World Wide Web - 1992 อ่านว่า nineteen ninety-two
WWW กำเนิดขึ้นในปี 1922


ตัวอย่างเพิ่มเติม
1789 อ่านว่า seventeen eighty-nine
1800 อ่านว่า eighteen hundred
1805 อ่านว่า eighteen oh five
1969 อ่านว่า nineteen sixty-nine
2000 อ่านว่า two thousand
2001 อ่านว่า two thousand one
2009 อ่านว่า two thousand nine

การอ่านจุดทศนิยม เศษส่วน และร้อยละ

Decimals ทศนิยม
point แปลว่า จุด
หน้าจุด ให้อ่านเป็นตัวเลขบอกจำนวน  
หลังจุด ให้อ่านทีละตัวเลข 
เช่น
0.3 อ่านว่า zero point three
1.5 อ่านว่า one point five
12.93 อ่านว่า twelve point nine three
59.367 อ่านว่า fifty-nine point three six seven

Fractions เศษส่วน
ตัวเศษ ให้อ่านเป็นตัวเลขบอกจำนวน
ตัวส่วน ให้อ่านเป็นตัวเลขบอกอันดับ
ถ้าตัวส่วนมากกว่า 1 ให้เติม s
เช่น
⅓ อ่านว่า a third หรือ one third
⅔ อ่านว่า two third
⅗ อ่านว่า three-fifths
7/32 อ่านว่า seven thirty-seconds

การอ่านจำนวนคละ
ให้คั่นด้วย and
เช่น 
1 ¼ อ่านว่า one and a quarter (¼ อ่านว่า a quarter)
2 ½ อ่านว่า two and a half (½ อ่านว่า a half)
8 ¾ อ่านว่า eight and three quarters (¾ อ่านว่า three quarters คือ 3 จาก 4 ส่วนนั่นเอง)

Percentages เปอร์เซ็นต์ หรือร้อยละ
10% อ่านว่า ten per cent
17.5% อ่านว่า seventeen point five per cent
99.99% อ่านว่า ninety-nine point nine nine per cent

Food Products สินค้าประเภทอาหาร

grow ปลูก
pick เก็บเกี่ยว
We grow these vegetables in East Africa.
เราปลูกผักเหล่านี้ ที่แอฟริกาตะวันออก
We pick them by hand.
เราเก็บมันด้วยมือ

load บรรจุ โหลด นำขึ้นยานพาหนะ
fly ขนส่งโดยเครื่องบิน
We load them on planes the same day and they fly to Europe.
เราโหลดมันขึ้นเครื่องบิน แล้วขนส่งไปยังยุโรป

unload นำลงจากพาหนะ
store เก็บ
We unload and store them in warehouses, but only for a short period of time. 
เราโหลดมันลงมาจากเครื่องบิน แล้วเก็บไว้ที่โกดัง แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

sell ขาย
buy ซื้อ
supermarket ห้างซุเปอร์มาเก็ต
customer ลูกค้า
We sell them in supermarkets two days after we pick them. 
เราขายมันที่ซุเปอร์มาเก็ต ภายใจสองวันหลังจากเก็บเกี่ยว
Customers in Europe and North America buy them.
ลูกค้าในยุโรปและอเมริกาเหนือซื้อผักของเรา

Monday, August 12, 2019

Work and Numbers งานและตัวเลข

approximately แปลว่า ประมาณ อาจจะใช้คำว่า around, about แทนก็ได้
There are approximately 4,000 at my company. 
บริษัทของฉันมีพนักงานประมาณ 4000 คน

exact figure แปลว่า ตัวเลขที่แท้จริง
The exact figure is 4,053. 
ตัวเลขที่แท้จริงคือ 4,053 คน

head office แปลว่า สำนักงานใหญ่
There’s one head office and there are six other offices.
มี 1 สำนักงานใหญ่ และ 6 สำนักงานย่อย

on average แปลว่า โดยเฉลี่ย
including แปลว่า รวมไปถึง
The full-time employees work 42 hours a week on average, including overtime.
พนักงานประจำทำงาน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ย รวมการทำงานล่วงเวลาแล้ว

mostly แปลว่า ส่วนใหญ่ 
About 70 people work at the head office, mostly top managers.
ประมาณ 70 คนทำงานที่สำนักงานใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นเหล่าผู้จัดการระดับสูง

sites แปลว่า ไซต์งาน ตัวอย่างเช่น 
offices สำนักงาน
store branches ร้านค้าสาขา
warehouses โกดังเก็บสินค้า

altogether แปลว่า รวมกันทั้งหมด
There are approximately 70 sites altogether.
รวมกันทั้งหมดแล้วมีประมาณ 70 ไซต์งาน

Free time and holidays เวลาว่างและวันหยุด

What do you do in your free time? คุณทำอะไรในเวลาว่าง
How do you relax? คุณพักผ่อนอย่างไร
I go swimming at the pool near my office. ฉันไปว่ายน้ำที่สระใกล้ ๆ ออฟฟิศ 
I play a lot of golf. ฉันตีกอล์ฟบ่อยมาก

once a week สัปดาห์ละครั้ง
twice a week สัปดาห์ละสองครั้ง
three times a week สัปดาห์ละสามครั้ง
four days a week สัปดาห์ละสี่วัน
every day ทุกวัน

I play at least twice a week. 
ฉันเล่นอาทิตย์ละสองครั้ง
take a break หยุดพักช่วงสั้น ๆ
I can take a break in the afternoon. 
ฉันสามารถหยุดพัก (จากการทำงาน) ในตอนบ่าย

สำนวนเวลาเกี่ยวกับ have และ take
have = the company gives you the time. have แปลว่า บริษัทให้เวลาหยุดแก่คุณ
take = you decide to take the time. take คุณขอหยุดเอง
have a break ได้เวลาหยุดพัก (จากบริษัท)
take a break ขอหยุดพัก

take/have + คำเหล่านี้ เช่น
a coffee break / a tea break พักดื่มกาแฟ ชา
a lunch break พักทานมื้อเที่ยง
a day off / the day off พัก 1 วัน
a week off / the week off พัก 1 อาทิตย์
a long weekend = take a day off on Friday or Monday to add to the weekend. วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยาวนาน คือ ได้พักศุกร์เสาร์อาทิตย์ หรือ เสาร์อาทิตย์จันทร์
a holiday วันหยุดพักผ่อน
three days’ holiday วันหยุดพักผ่อนสามวัน
two weeks’ holiday วันหยุดพักผ่อนสองอาทิตย์

ตัวอย่าง เช่น
I have a coffee break. ฉันได้เวลาหยุดพักดื่มกาแฟ
I take a day off. ฉันลางาน 1 วัน
I take three days’ holiday. ฉันขอหยุดพักผ่อน 3 วัน

Going on holiday การไปพักร้อน
I have five weeks’ holiday a year. ฉันได้รับวันหยุดพักร้อน ห้าอาทิตย์ต่อปี
I take three weeks in summer and two weeks in winter. ฉันขอหยุดสามอาทิตย์ในฤดูร้อน และสองอาทิตย์ในฤดูหนาว
I sometimes take long weekends too! บางครั้งฉันขอหยุดยาวในช่วงสุดสัปดาห์ด้วย
(Take long weekends ขอหยุดยาวสุดสัปดาห์ เช่น ตั้งแต่ศุกร์ถึงอาทิตย์ หรือตั้งแต่เสาร์ถึงจันทร์ เป็นต้น)

go abroad ไปต่างประเทศ
go on holiday ไปพักร้อน ถ้าฝั่งอเมริกาจะใช้ go on vacation
In summer, I don’t stay in France. I go abroad. I like to go on holiday somewhere very hot! 
ในฤดูร้อน ฉันไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศส ฉันไปต่างประเทศ ฉันชอบไปพักร้อนในบางที่ที่อากาศร้อนมาก ๆ

go skiing ไปเล่นสกี
take it easy = relax พักผ่อน
In winter, I stay in France. I go skiing in the Alps. Sometimes it’s important to take it easy. 
ในฤดูหนาว ฉันอยู่ที่ฝรั่งเศส ฉันไปเล่นสกีที่เทือกเขาแอลป์ บางครั้งมันจำเป็นนะที่ควรจะพักผ่อนบ้าง

Do you have time? คุณพอมีเวลามั๊ย

ถาม: Can we meet เรามาเจอกันได้มั๊ย
Can we meet on Monday? เราสามารถมาเจอกันวันจันทร์ได้มั๊ย

don’t have time ไม่มีเวลา
I’m going to...ฉันจะ…
have an appointment with มีนัดกับ...
No, I’m afraid I don’t have time to meet on Monday. 
ไม่ว่างอ่ะ ฉันเกรงว่า ฉันไม่มีเวลาที่จะพบคุณในวันจันทร์

I’m busy. I’m going to a sales meeting in the morning and I have an appointment with my dentist in the afternoon. 
ฉันไม่ว่าง ฉันจะไปงานประชุมการขายในตอนเช้า และฉันมีนัดกับหมอฟันในตอนบ่าย

ถาม: What are you doing คุณจะทำอะไร (ทำแน่ ๆ เพราะวางแผนไว้แล้ว)
What are you doing on Friday? คุณจะทำอะไรในวันศุกร์
ตอบ: I’m going to...ฉันจะ...
I’m going to a sales meeting on Friday. ฉันจะไปงานประชุมการขายในวันศุกร์
I’m meeting a customer. จะไปพบลูกค้า
I’m working at the office. จะไปทำงานที่ออฟฟิศ
I’m seeing my manager. จะไปพบผู้จัดการ
I’m having lunch with a customer. จะไปทานมื้อเที่ยงกับลูกค้า

Are you free คุณว่างมั๊ย
Are you free on Friday? วันศุกร์คุณว่างมั๊ย
Yes, I’m free on Friday afternoon. ว่างจ้าา ฉันว่างในวันศุกร์ตอนบ่าย

ถาม: Where shall we meet? เราจะเจอกันที่ไหนดีอ่ะ
ตอบ: Let’s meet at… แปลว่า เจอกันที่...
Let’s meet at my office. มาเจอกันที่ออฟฟิศของฉันกันเถอะ
Let’s meet at a restaurant for lunch. เจอกันที่โรงอาหาร ทานมื้อเที่ยงด้วยกัน
Let’s meet at a cafe’ for a coffee. เจอกันที่ร้านกาแฟ ดื่มกาแฟด้วยกันนะ
Let’s meet at a bar for a drink. เจอกันที่บาร์ มาดื่มด้วยกัน

ถาม: When shall we meet? เราจะพบกันเวลาไหนดี
ตอบ: how about, what about แปลว่า ...เป็นไง ok มั๊ย
How about 12.30? เที่ยงครึ่งเป็นไง (ok มั๊ย)
What about one o’clock? สักบ่ายโมงเป็นไง
How about after work? หลังเลิกงานเป็นไง